Open : 10:00-19:00 ทุกวัน
95, 97 ถ.มหาดไทย อ.เมือง จ.นครราชสีมา

มีวิธีการรักษาฝ้าอย่างไร ?

ปัญหาเรื่องฝ้า กระ รอยคล้ำจุดด่างดำบนใบหน้า นับเป็นปัญหากวนใจใครหลาย ๆ คน โดยเฉพาะคุณสาวๆ ในยุคสมัยใหม่มักจะเทคะแนนให้กับคุณสุภาพสตรีที่ใบหน้าขาวใส ปราศจากจุดด่างดำ ดังนั้นคุณผู้หญิงคนไหนที่มีปัญหาเรื่องฝ้า รอยดำบนใบหน้า ก็จะรู้สึกไม่สบายใจ ไม่มั่นใจขึ้นมาทันที
14
Aug

มีวิธีการรักษาฝ้าอย่างไร ?

ชนิดของฝ้า หลัก ๆ แล้วจะมีอยู่ 2 ชนิด คือ

 ฝ้าระดับตื้น ในระดับหนังกำพร้าหรือผิวหนังชั้นนอก ฝ้ามีสีน้ำตาลขอบชัด ส่วนใหญ่มักจะมีฝ้าบริเวณโหนกแก้ม รักษาหายได้โดยใช้เวลาไม่นาน โดยใช้ยาทารักษาฝ้าที่มีส่วนผสมของยาบางชนิด เช่น ไฮโดรคิวโนน (Hydroquinone) ซึ่งต้องใช้ภายใต้การควบคุมของแพทย์ เพราะเป็นสารที่มีข้อเสียและควรระวัง

ฝ้าแบบลึก เกิดความผิดปกติในระดับชั้นผิวหนังแท้ การใช้ครีมรักษาฝ้าและยากันแดดช่วยให้ดีขึ้นได้ แต่รักษายากกว่าฝ้าชนิดตื้น การรักษาบริเวณที่ลึกประกอบด้วยหลายวิธี เช่น การขัดผิวหนัง การลอกผิว การกรอผิว และการใช้เลเซอร์ ทำให้การรักษาส่งผลเร็วขึ้น ซึ่งมีแนวทางดังนี้

      1. การลอกฝ้า ( Peeling ) โดยการใช้น้ำยาลอกฝ้าทาทิ้งไว้ 1-2 นาที ตามแพทย์สั่ง (ระยะเวลาขึ้นอยู่กับผิวหน้าแต่ละบุคคล) หลังจากลอกหน้าจะมีการผลัดเซล์ ลอกเป็นขุยมากน้อยต่างกัน ในกรณีที่คนไข้ผิวหน้ามัน ผิวหน้าอาจจะไม่มีอาการลอก ไม่ต้องกังวลทำให้ฝ้าที่เป็นเรื้อรังมานานสีจางลงได้ใน 30-90 วัน ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าและผลักดันเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาแทน ทำให้ผิวเนียนนุ่นและกระจ่างใสมากขึ้น แต่ผิวหน้าจะไวต่อแสงแดด จึงต้องทาครีมกันแดดป้องกันผิวให้ดี เพื่อไม่ให้มีโอกาสกลับมามาเป็นฝ้าอีก

 

       2. การรักษาฝ้าด้วยเครื่องไอออนโตโฟเรซิส (Iontophoresis) และเครื่องโฟโนโฟเรซิส (Phonophoresis) ใช้กระแสไฟฟ้าระดับอ่อนผลักยาหรือวิตามินซึมผ่านเข้าสู่ผิวหนังเพื่อให้ฤทธิ์ในการรักษาได้ดีขึ้น ตัวยามักจะเป็นเจลวิตามินซี, เจลอาร์บูติน และเจลโคจิก หลังการรักษาอาจมีอาการระคายเคืองบ้าง แต่จะมีผลข้างเคียงน้อย การรักษาด้วยวิธีนี้สัปดาห์ละ 1-2 ครั้งจะช่วยให้ฝ้าจางลงทีละน้อย

       3. วิธีการกรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี (Microdermabrasion) ช่วยขจัดเซลล์ชั้นหนังกำพร้าให้ฝ้าแบบตื้นหลุดออกเร็วขึ้น ร่วมกับยาทา เช่น กรดวิตามินเอ และวิตามินซี เพื่อช่วยลดรอยดำจากฝ้ามีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่อาจก่ออาการระคายเคืองบ้างและต้องทำซ้ำหลายครั้ง

       4. การใช้เข็ดผลักตัวยาเข้าไปใต้ผิวเพื่อรักษาฝ้า เรียกว่า เมโสเมลาสม่า (Mesomelasma) บริเวณที่มีรอยฝ้าและกระ ควรฉีดซ้ำทุก 1-2 สัปดาห์ จะช่วยให้ฝ้ากระดูจางลง

          5. การรักษาด้วย Lasaer การใช้เลเซอร์และการฉีดลดฝ้าสองตัวนี้จะเป็นการรักษาได้อย่างตรงจุดค่ะ จะค่อย ๆ จางลงตามจำนวนครั้งที่ทำ ในส่วนของผลตอบสนองก็ขึ้นอยู่กับปัญหา ส่วนจะใช้ Laser ชนิดไหนในการรักษาแพทย์จะประเมินและรักษาตามอาการค่ะ

       การรักษา ฝ้า กระ ต้องใช้เวลา แต่ละคนมีการสนองตอบต่อการรักษาแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความลึก ระดับความเข้มของฝ้า และปัจจัยการกระตุ้นให้เกิดฝ้าที่แตกต่างกัน

       ที่สำคัญ คือ หลังจากทายาหรือการรักษาด้วยวิธีต่าง ๆ การป้องกันเป็นเรื่องสำคัญ ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดและทาครีมกันแดดเพื่อป้องกันผิวจากรังสียูสีก่อนออกแดด 30 นาทีทุกครั้ง ควรรับประทานผักและผลไม้ที่อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระเพื่อเสริมสร้างผิวใหม่ให้แข็งแรงและลดการเป็นฝ้าซ้ำ

หายข้องใจเรื่องปัญหาฝ้า กระ กันแล้วใช่มั้ยคะ ดังนั้นหากจะใช้ผลิตภัณฑ์ใด ๆ ในการรักษาหรือกำจัดฝ้า ควรจะเลือกที่ผ่านการรับรองจาก อย.ดีที่สุด หากไม่มั่นใจแนะนำให้ลองเข้ามาปรึกษากับแพทย์ดูก่อนก็ได้นะคะ อย่างน้อยจะได้เพิ่มความมั่นใจในความปลอดภัยให้กับใบหน้าของตนเอง จะสวยทั้งทีควรสวยอย่างมีคุณภาพที่ได้มาตรฐาน แบบนี้สิถึงจะเรียกว่าสวยอย่างแท้จริง